การ์ดแต่งงานและของชำร่วยเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในงานแต่งงาน สำหรับคู่บ่าวสาวที่ต้องการประหยัดงบประมาณแต่ยังคงความสวยงามเอาไว้ ก็มีแนวทางมากมายในการเลือกให้ถูกใจทั้งผู้ให้และผู้รับ แม้แต่ของชำร่วยที่ปัจจุบันนิยมของที่ใช้สอยได้ ก็ยังมีสิ่งของให้เลือกหลากหลายแบบภายในงบประมาณที่จำกัด

แนวทางการเลือกการ์ดแต่งงาน
การ์ดแต่งงานเป็นสิ่งแรกที่สื่อถึงตัวตนของคู่บ่าวสาว และบอกคร่าวๆ ถึงรูปแบบของงานแต่ง เพื่อให้แขกที่เข้าร่วมได้รับรู้ว่าจะเป็นงานเลี้ยงแบบไหน โต๊ะจีน หรือค็อกเทล มีงานช่วงเช้าด้วยหรือไม่ จะได้แต่งตัวให้เหมาะสม และยังสามารถเก็บเป็นของที่ระลึกได้ด้วยหากมีความสวยงามน่าเก็บ แต่ทั้งนี้ก็ต้องเลือกให้เหมาะสมกับงบประมาณ ซึ่งแนวทางการเลือกการ์ดแต่งงานให้สวยงามและอยู่ในงบประมาณมีดังนี้
1. เลือกทิศทางการออกแบบจากธีมของงาน
ก่อนจะไปที่ขั้นตอนอื่นๆ ของการเลือกการ์ดแต่งงาน เราต้องกำหนดธีมของงานแต่งก่อน เช่น เรียบง่าย เป็นทางการ หรือน่ารักสดใส เพื่อให้มีทิศทางในการออกแบบมากขึ้น และจะกำหนดส่วนประกอบอื่นๆ ของการ์ดได้ เช่นรูปแบบกระดาษ เทคนิคการพิมพ์ เป็นต้น
2. เลือกรูปแบบการ์ด
เมื่อเลือกได้แล้วว่าจะออกแบบการ์ดให้ตรงกับธีมงานอย่างไร เช่น น่ารักสดใส หรือดูเป็นทางการ ก็สามารถเลือกรูปแบบการ์ดแต่งงานได้ง่ายขึ้น ยกตัวอย่างรูปแบบที่นิยม ดังนี้
- Bold & Typography เน้นการใช้ตัวอักษรฟอนท์ต่างๆ มีความชัดเจน เรียบง่าย แต่มีสไตล์ ตัวอักษรที่นิยมมักเป็นตัวเขียนภาษาอังกฤษ เพราะมีความอ่อนหวานสวยงาม และคงความคลาสสิคในตัว สีตัดกับพื้นหลังทำให้ดูโดดเด่น อ่านง่าย และอีกแบบที่นิยมคือภาษาอังกฤษตัวพิมพ์ใหญ่
- Cartoon & Illustrative ภาพวาดการ์ตูนสไตล์น่ารักๆ ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับการ์ดแต่งงาน สามารถออกแบบได้ว่าจะให้เป็นตัวการ์ตูนที่จำลองจากคู่แต่งงาน หรือจะเป็นภาพสัตว์น่ารักๆ ก็ได้ เช่น หมี กับกระต่าย ก็น่ารักไม่หยอก
- Classic & Formal คล้ายกับแบบ Bold & Typography เพราะเน้นที่ตัวอักษร แต่มีความทางการและดูภูมิฐานมากกว่า เหมาะกับคู่แต่งงานที่ต้องการความเป็นผู้ใหญ่ ตัวอักษรมักเป็นตัวเขียนทั้งไทยและอังกฤษ ซึ่งถ้าเป็นภาษาไทยจะใช้ฟอนท์ที่ให้ความรู้สึกเป็นทางการ ดูจริงจัง ขณะเดียวกันก็ดูร่วมสมัย
- Flower การ์ดสไตล์นี้ได้รับการเนตรมิตภาพวาดดอกไม้สไตล์ต่างๆ มาประดับบนการ์ด เช่น บริเวณกรอบ รอบตัวอักษร หรือพื้นหลัง และไม่มีภาพการ์ตูนอย่างอื่น มีแต่ตัวอักษรอย่างเดียว ทำให้ดูเรียบง่าย แต่มีความอ่อนหวาน และน่ารักสดใสอยู่ในตัว
- Modern & Minimal มีรูปแบบเรียบง่าย ใช้สี 2-3 สีที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน บนการ์ดมักมีแต่ตัวอักษร โดยอาจเป็นเพียงชื่อคู่บ่าวสาวอย่างเดียวบนหน้าการ์ด และตัวอักษรต้องไม่ใหญ่มาก เน้นขนาดเล็ก ต่างจากการ์ดแบบ Typography หรืออาจจะมีรูปประกอบอย่างเช่นใบไม้เพื่อเพิ่มกิมมิคให้กับการ์ด
- Photo เหมาะสำหรับคู่ที่ถ่ายพรีเวดดิ้งเพราะสามารถนำภาพคู่บ่าวสาวมาตกแต่งบนการ์ดได้เลย โดยมีทั้งแบบทำเป็นกรอบรูป หรือทำเป็นรูปถ่ายทั้งใบแล้วเขียนตัวอักษรบอกรายละเอียดงานแต่งงานลงไป
- Rustic & Bohemian ให้ความรู้สึกเหมือนการแต่งตัวสไตล์โบฮีเมี่ยน เพราะเน้นสีเข้มอย่างดำ เทา น้ำตาล และตกแต่งด้วยสีสดใสอย่างสีแดงหรือสีส้ม พร้อมทั้งการตกแต่งที่เป็นลวดลายที่ทำให้นึกถึงชนเผ่าต่างๆ
- Watercolor การ์ดแต่งงานที่ใช้ภาพวาดหรือภาพประกอบสไตล์สีน้ำ ทำให้การ์ดดูมีความอ่อนหวาน ขณะเดียวกันก็มีความสดใสอยู่ในตัว
3. เลือกกระดาษให้เหมาะกับการ์ด
คุณสมบัติของกระดาษสร้างความรู้สึกที่แตกต่างกัน โดยกระดาษมีให้เลือกหลายแบบ เช่น กระดาษอาร์ต กระดาษปอนด์ กระดาษปรู๊ฟ กระดาษแบงค์ กระดาษแข็ง กระดาษแฟนซี โดยกระดาษที่เหมาะกับการพิมพ์การ์ดแต่งงานคือกระดาษอาร์ต เพราะมีผิวเรียบ เหมาะกับงานพิมพ์สี่สี และยังมีหลายแบบให้เลือก เช่น กระดาษอาร์ตมัน กระดาษอาร์ตด้าน และกระดาษอาร์ตการ์ด รวมไปถึงกระดาษปอนด์ กระดาษคราฟต์ กระดาษประกายมุก ก็เหมาะกับการทำการ์ดเช่นกันแต่ต้องเลือกความหนาให้เหมาะสม
4. เลือกความหนาของกระดาษการ์ด
กระดาษมีการวัดหน่วยความหนาเป็นแกรม ซึ่งความหนาที่เหมาะเป็นการ์ดแต่งงาน คือ 180 แกรมขึ้นไป เพราะจะคงรูปกระดาษ ไม่อ่อน หรืองอจนเกินไป
5. เลือกขนาดกระดาษการ์ด
การเลือกขนาดกระดาษส่งผลต่อต้นทุน เพราะการตัดกระดาษจะตัดจากกระดาษแผ่นใหญ่มาเป็นแผ่นเล็กๆ ถ้าเลือกขนาดที่ไม่ใช่มาตรฐาน ตัดได้พอดีแผ่นใหญ่ ไม่มีกระดาษส่วนที่ต้องทิ้ง ก็จะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น โดยขนาดกระดาษการ์ดมาตรฐานคือ 5X7 นิ้ว
6. เลือกเทคนิคการพิมพ์
เทคนิคการพิมพ์แต่ละแบบก็จะมีต้นทุนที่แตกต่างกันไป โดยจะมีเทคนิคดังนี้ พิมพ์แบบนูน คือเน้นภาพหรือตัวอักษรนูนขึ้นมา, พิมพ์แบบลึก คือกดภาพหรือตัวอักษรให้ลึกลงไป, Spot UV คือการทำเงาเฉพาะจุด โดยต้องทำคู่กับการเคลือบด้าน, ปั๊มฟอยล์ โดยมีทั้งฟอยล์เงินและฟอยล์ทอง

แนวทางการเลือกของชำร่วยงานแต่ง
ของชำร่วยงานแต่งแต่เดิมมักเป็นตุ๊กตาเซรามิก หรือสิ่งของที่ผู้รับไม่สามารถนำไปใช้งานอะไรได้นอกจากเก็บเป็นที่ระลึก ปัจจุบันของชำร่วยจึงมีความหลากหลายมากขึ้น และมักเป็นของที่สามารถใช้งานได้ด้วย แต่ก็ยังคงซึ่งความหมายและความสวยงาม แนวทางการเลือกของชำร่วยมีดังนี้
1. เลือกตามการใช้งาน
คงจะดีไม่น้อยถ้าของชำร่วยงานแต่งของคู่บ่าวสาวไม่ต้องถูกทิ้งขว้างเพราะใช้ประโยชน์ไม่ได้ ของชำร่วยงานแต่งที่เน้นการใช้งานจึงมีให้เลือกมากขึ้น เพราะจะได้ไม่ถูกทิ้งเสียเปล่า และยังแสดงถึงความใส่ใจจากคู่บ่าวสาวที่มีต่อเพื่อนร่วมงานด้วย ยกตัวอย่างของที่ราคาไม่แพงและใช้งานได้จริงเช่น
- กระเป๋าหนังใส่เหรียญ กระเป๋าหนังสามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน และขนาดกะทัดรัดทำให้มีราคาไม่แพง ผู้รับสามารถนำไปใส่เหรียญ เก็บไว้ติดกระเป๋าใหญ่หรือกระเป๋าสะพายเพิ่มความสะดวกสบายได้มาก
- สบู่ก้อนน้ำนมข้าวในแพคเกจน่ารัก สบู่สามารถนำไปล้างมือหรือชำระล้างร่างกายได้ และยังมีกลิ่นหอม เหมาะกับการเป็นของขวัญในงานมงคล
- แม่เหล็กติดตู้เย็น สามารถใช้แปะโน้ตต่างๆ ที่สำคัญ และคู่บ่าวสาวยังสามารถออกแบบลายน่ารักๆ ให้ผู้รับรู้สึกอยากใช้งานด้วย
2. เลือกตามความหมาย
ของชำร่วยไม่เพียงใช้เป็นของที่ระลึกและขอบคุณผู้มาร่วมงานเท่านั้น แต่ยังมีความหมายที่ใช้อวยพรชีวิตคู่ของบ่าวสาวด้วย ยกตัวอย่างเช่น
- น้ำผึ้งในขวดแก้ว มีความหอมหวาน จึงเป็นการอวยพรให้คู่บ่าวสาวมีความรักที่หวานชื่นนั่นเอง
- สมุดโน้ต เป็นการจดบันทึกเรื่องราวความรักและความทรงจำดีๆ ให้คงอยู่ตลอดไป
- ที่รองแก้ว คู่บ่าวสาวสามารถเลือกลายได้เอง และความหมายก็คือช่วยรองรับชีวิตคู่ให้ผ่านอุปสรรคไปด้วยกันได้
งานแต่งงานเป็นงานมงคลงานหนึ่งของชีวิต การพิถีพิถันออกแบบและเลือกสรรสิ่งต่างๆ ภายในงานทั้งการ์ดแต่งงานและของชำร่วยจึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องใช้งบประมาณที่มากเกินจำเป็น เพราะถ้ามีการวางแผนงานที่ดี รู้จักเลือกใช้วัสดุหรือเทคนิคการผลิตที่ต้นทุนไม่สูง ก็จะทำให้ได้งานแต่งงานที่สมบูรณ์สมดังใจ แถมงบประมาณไม่บานปลาย นำเงินที่เหลือไปฮันนีมูนกับคู่รักได้อีกด้วย