การออกกำลังกายและการควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนักและกระชับสัดส่วนอาจไม่เพียงพอสำหรับหุ่นดีๆ เพราะโครงสร้างร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนพยายามออกกำลังกายและควบคุมอาหารมานานแต่ก็ยังไม่สามารถลดไขมันส่วนเกินบริเวณต้นแขน ต้นขา หรือใต้คางได้ เพราะเป็นบริเวณที่ลดได้ยาก ดังนั้นการดูดไขมันจึงเป็นอีกตัวเลือกสำหรับการมีหุ่นดี แต่ไปดูกันดีกว่าว่าก่อนลงทุนดูดไขมัน มีอะไรที่ต้องรู้และคำนึงถึงบ้าง
12 ข้อควรรู้ก่อนดูดไขมัน
1. การเลือกสถานที่ทำการดูดไขมัน
สิ่งสำคัญ 2 อย่างที่ต้องคำนึงถึงในการดูดไขมันคือ แพทย์ที่ทำการดูดไขมัน และสถานประกอบการ โดยแพทย์ต้องมีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ สามารถเช็ครายชื่อที่มีการรับรองโดยแพทยสภา ได้ที่ www.tmc.or.th/check_md หรือถ้าต้องการรายชื่อศัลยแพทย์ตกแต่ง สามารถเช็ครายชื่อได้ที่ www.plasticsurgery.or.th/lst.php ที่สำคัญแพทย์ต้องเต็มใจให้คำแนะนำและคำปรึกษาโดยไม่ยัดเยียดขายคอร์สอย่างเดียว
ในส่วนของสถานประกอบการ มีทั้งแบบคลินิก และโรงพยาบาล ซึ่งคลินิกสามารถแบ่งเป็นคลินิกทั่วไปและคลินิกขนาดใหญ่ ซึ่งการดูดไขมันในบางจุด มักจะไม่ต้องค้างคืนเพื่อพักฟื้น แต่ถ้ามีการดูดไขมันหลายจุดและมีการดูดไขมันร่วมกับการผ่าตัด อาจต้องมีการพักฟื้นที่สถานประกอบการขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์
คลินิกที่จะให้ผู้ป่วยค้างคืนได้ต้องเป็นคลินิกขนาดใหญ่และขออนุญาตจากส่วนราชการในการให้ผู้ป่วยค้างคืน ซึ่งคลินิกทุกแบบต้องมีการจดทะเบียนถูกต้อง ดูได้ที่เลขทะเบียนของคลินิก นอกจากนี้ยังต้องดูด้วยว่าสถานประกอบการมีความสะอาด วัสดุอุปกรณ์มีมาตรฐาน และมีไฟส่องสว่างอย่างเพียงพอหรือไม่
2. เทคโนโลยีการดูดไขมัน
วิธีการดูดไขมันที่ไม่ต้องผ่าตัดในปัจจุบันมีหลากหลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น
- Vaser เป็นการใช้คลื่นเสียง Ultrasound สลายเซลล์ไขมันให้กลายเป็นน้ำมันแล้วดูดออกมาผ่านท่อขนาดเล็ก
- Body Tite เป็นการใช้คลื่นวิทยุ (Radio Frequency: RF) ส่งลงใต้ผิวหนังให้เปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน สลายเซลล์ไขมันให้กลายเป็นน้ำมันแล้วดูดออกมาผ่านท่อขนาดเล็ก
- Coolsculpting เป็นการใช้ความเย็นฆ่าเซลล์ไขมัน แล้วระบบน้ำเหลืองจะกำจัดเซลล์ที่ตายแล้วออกจากร่างกายโดยธรรมชาติ
3. ค่าใช้จ่ายและแนวทางการเก็บเงิน
เทคโนโลยีการดูดไขมันมีหลากหลายแบบ และสถานประกอบการแต่ละแห่งก็มีการกำหนดราคาแตกต่างกันไป โดยเฉลี่ยเริ่มต้นที่จุดละประมาณ 10,000 บาท ดังนั้นก่อนเก็บเงินควรเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลดูดไขมันที่สนใจ ดูราคาจุดที่ต้องการดูดไขมัน จะได้ตั้งเป้าหมายในการเก็บเงินได้ถูกต้อง วิธีการเก็บเงินมีหลากหลาย เช่น
- หักเงินสำหรับออมจากรายได้ทันที ไม่รอให้เหลือจากการใช้ เพราะไม่แน่นอนว่าเราจะใช้จนเหลือเงินเท่าไหร่
- เก็บเงินในบัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษี วิธีนี้จะช่วยกำหนดเงินที่ต้องออมแต่ละเดือน และระยะเวลาอย่างชัดเจน เช่น 12 หรือ 24 เดือน และมีดอกเบี้ยจากการฝากเงินด้วย
- ลดค่าใช้จ่ายโดยการรับเป็นเคสรีวิวของคลินิก เนื่องจากคลินิกศัลยกรรมปัจจุบันมีจำนวนมาก การหาเคสรีวิวให้คลินิกเป็นการโปรโมทอย่างหนึ่ง ถ้าเรารับรีวิวจะได้ส่วนลดในการดูดไขมัน แต่ต้องตรวจสอบประวัติของคลินิกว่าเชื่อถือได้ และมีความปลอดภัย
4. อายุผู้เข้ารับบริการ
การดูดไขมันถือเป็นการผ่าตัดศัลยกรรมอย่างหนึ่ง ผู้รับบริการดูดไขมันต้องมีอายุ 20 ปีขึ้นไป ถ้ามีอายุน้อยกว่า 20 ปีควรได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง
5. การตรวจร่างกายและโรคประจำตัวก่อนดูดไขมัน
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคประจำตัวบางอย่างไม่สามารถดูดไขมันได้ โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบหมุนเวียนเลือด โรคหัวใจ รวมถึงโรคเบาหวาน โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง เพราะการดูดไขมันอาจทำให้เกิดอาการช็อกและถึงขั้นเสียชีวิต ดังนั้นควรตรวจร่างกายก่อนไปดูดไขมัน หรือถ้าทราบว่าตนเองเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้วต้องแจ้งแพทย์อย่างครบถ้วนโดยไม่ปกปิดข้อมูล เพื่อให้แพทย์ประเมินว่าสามารถทำได้หรือไม่ ไม่เช่นนั้นอาจเป็นอันตรายต่อตนเองได้
6. การเตรียมตัวก่อนดูดไขมัน
สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนดูดไขมันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ คือ งดการดื่มแอลกอฮอล์หรือสารเสพติดต่างๆ ที่ส่งผลให้ร่างกายผิดปกติ รวมทั้งงดยาและอาหารเสริมบางชนิดที่ลดการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแอสไพริน น้ำมันปลาหรือวิตามิน E โดยสามารถขอคำแนะนำจากแพทย์ได้ว่ารายชื่อยาและอาหารเสริมที่ควรหลีกเลี่ยงมีอะไรบ้าง
7. ผลข้างเคียงจาการดูดไขมัน
หลังการทำอาจมีอาการบวม หรือช้ำ ซึ่งต้องใช้เวลาถึงจะฟื้นตัวและดีขึ้น แต่ถ้าใต้ผิวหนังมีลักษณะเป็นก้อน มีรอยย่น ต้องรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการแก้ไข
8. วางแผนการเดินทางหลังทำการดูดไขมัน
หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยการขึ้นเครื่องบินหรือนั่งรถนานๆ หลายชั่วโมง เพราะอาจทำให้บริเวณที่ได้รับการดูดไขมันบวม มีการอุดตันของลิ่มเลือด จากการนั่งนานๆ โดยไม่ขยับเลย ดังนั้นควรวางแผนการเดินทางหลังดูดไขมันให้ดี
9. ระยะเวลาฟื้นตัว
หลังจากดูดไขมันแล้วจะไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนโดยทันที เพราะจะมีอาการบวมช้ำ ต้องรอให้ผิวและร่างกายฟื้นตัวได้ก่อนประมาณ 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีที่เลือกใช้ดูดไขมัน และการดูแลรักษาหลังทำ
10. การดูแลหลังดูดไขมัน
เทคโนโลยีการดูดไขมันในปัจจุบันทำให้ใช้เวลาในการพักฟื้นน้อยลง แต่ก็ยังมีข้อควรระมัดระวังหลายข้อ คือ ต้องเตรียมชุดกระชับหรือผ้ารัดบริเวณที่ดูดไขมัน เพื่อลดอาการบวม ต้องดื่มน้ำมากๆ ภายใน 6 ชั่วโมงหลังทำเพื่อป้องกันการขาดน้ำ ในส่วนของแผลที่เกิดจากการเจาะท่อดูดไขมันต้องติดพลาสเตอร์กันน้ำเพื่อไม่ให้แผลโดนน้ำ และวันแรกหลังทำควรงดการอาบน้ำ ให้เช็ดตัวแทน ส่วนของการกินให้งดของหมักดอง อาหารทะเล เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และงดสูบบุหรี่ รวมถึงงดออกกำลังกายและยกของหนักเป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์เพื่อป้องกันแผลเปิด
11. ต้องดูแลร่างกายเพื่อไม่ให้ไขมันกลับมาสะสมที่ส่วนอื่น
การดูดไขมันไม่ใช่การลดน้ำหนัก และไม่ใช่การกำจัดไขมันออกจากร่างกายอย่างถาวร เนื่องจากร่างกายต้องรักษาสมดุลไขมันในร่างกายเอาไว้จึงมีการสร้างไขมันทดแทนส่วนที่เสียไป ดังนั้นถ้าไม่ควบคุมอาหารและไม่ออกกำลังกายเลย ไขมันก็จะกลับมาดังเดิม เพียงแต่ไม่กลับมาในจุดเดิมที่เราดูดไขมันทิ้งไป เช่น ดูดไขมันต้นขาแล้วไม่ควบคุมอาหาร ไขมันก็จะกลับไปพอกสะสมที่ต้นแขนหรือหน้าท้องแทน
12. ไขมันที่ดูดออกสามารถนำไปเติมส่วนอื่นๆ ได้
สำหรับคนที่มีแผนจะทำศัลยกรรมในส่วนอื่นๆ ด้วย สามารถนำไขมันไปฉีดเติมได้ เช่น แก้ม คาง ริมฝีปาก แต่ไม่แนะนำให้ฉีดไขมันที่บริเวณหน้าอก เพราะต้องใช้เซลล์ไขมันเป็นปริมาณมากและอาจมีเซลล์ไขมันที่ตายจนกลายเป็นก้อนแข็งได้
การดูดไขมันคือการศัลยกรรมอย่างหนึ่ง ดังนั้นผลลัพธ์จะตรงกับที่ต้องการแค่ไหน ขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือกใช้ ความเชี่ยวชาญของแพทย์ โครงสร้างของร่างกาย และงบประมาณที่จ่ายไป ก่อนการทำจึงต้องมีการศึกษาให้ละเอียดรอบคอบ เพื่อความคุ้มค่าในการลงทุน