การทำศัลยกรรมเสริมความงามใบหน้าเปรียบเหมือนการลงทุนอย่างหนึ่งเพื่อให้ได้รูปลักษณ์ที่สวยงามตรงความต้องการ ซึ่งเราคงรู้กันดีว่าการลงทุนทุกอย่างมีความเสี่ยง การศัลยกรรมก็เช่นกัน เราจึงต้องศึกษาข้อมูลให้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของค่าใช้จ่าย การเก็บเงิน ความปลอดภัยในการทำ และการดูแลตัวเอง เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาตามที่ตั้งเป้าหมายไว้มากที่สุด
5 ข้อควรรู้ก่อนทำศัลยกรรมใบหน้า
1. ค่าใช้จ่ายในการศัลยกรรมใบหน้าโดยประมาณ
- ใบหน้าและคอ
ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการดึงหน้า ดึงคอ เพื่อให้ริ้วรอยลดเลือนลงและผิวเต่งตึงขึ้น ค่าใช้จ่ายประมาณ 25,000 – 100,000 บาท ขึ้นอยู่กับส่วนที่ทำ - ขมับและรอยตีนกา
มีทั้งการดึงขมับและรอยตีนกา รวมถึงการเสริมขมับโดยการฉีดไขมัน ค่าใช้จ่ายประมาณ 12,000 – 30,000 บาท - หน้าผาก
มีทั้งการดึงหน้าผากโดยใช้กล้อง หรือฉีดไขมันที่หน้าผาก ค่าใช้จ่ายประมาณ 13,000 – 70,000 บาท - แก้ม โหนกแก้ม และกราม
มีทั้งการดึงแก้ม เสริมโหนกแก้มโดยการฉีดไขมัน ฉีดคอลลาเจน หรือใช้ซิลิโคน การทำลักยิ้ม ตักมุมกรามเข้านอกปากหรือในปาก ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับส่วนที่ทำและรายละเอียดที่เลือก โดยประมาณตั้งแต่ 6,000 – 48,000 บาท - คาง
การเสริมคางมีทั้งแบบใช้ซิลิโคนแท่ง การฉีดคอลลาเจน การฉีดไขมัน ค่าใช้จ่ายโดยประมาณเริ่มต้นที่ 8,000 บาท ถ้าเสริมโดยเลื่อนกระดูกคางอยู่ที่ประมาณ 60,000 บาท การตัดคาง เหลากราม ดูดไขมันไต้คาง เพื่อลดขนาดคาง ค่าใช้จ่ายประมาณ 12,000 – 45,000 บาท - ตา
ส่วนใหญ่จะเป็นการทำตาสองชั้นเพื่อให้ดวงตาดูโตขึ้นและดูสดใสขึ้น ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 5,000 – 7,000 บาท - จมูก
การศัลยกรรมจมูกจะมีทั้งการเสริมจมูก เสริมดั้ง การลดขนาดจมูกที่ใหญ่ การตกแต่งปลายจมูก และการตัดปีกจมูก ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 6,000 – 50,000 บาท - ปาก
การเสริมปากให้เอิบอิ่มมีทั้งการฉีดไขมัน การฉีดคอลลาเจน การผ่าตัดริมฝีปากมีทั้งการผ่าตัดริมฝีปากหนา การผ่าตัดริมฝีปากบน การผ่าตัดยกริมฝีปาก และการตกแต่งให้ริมฝีปากเบาบางลง ค่าใช้จ่ายโดยประมาณ 7,000 – 20,000 บาท - หู
มีทั้งแก้ไขหูกาง ใบหูไม่เท่ากันตกแต่งติ่งหู ค่าใช้จ่ายประมาณ 7,000 – 10,000 บาท
2. แนวทางการเก็บเงินเพื่อทำศัลยกรรม
- เก็บแบงค์ 50 บาท
สำหรับคนที่ไม่รีบร้อน เคล็ดลับการเก็บเงินแบบนี้ก็น่าสนใจ เพราะแบงค์ 50 บาทไม่ใช่แบงค์ที่เจอบ่อยเท่าแบงค์อื่นๆ เมื่อได้มาแล้วให้เก็บไว้ทุกใบ เมื่อเวลาผ่านไปสักระยะแล้วมาเช็คดูอาจพบว่าครบกับค่าใช้จ่ายศัลยกรรมที่ตั้งไว้ก็ได้ - เก็บเงินตามลำดับวัน 180 วัน
วิธีการคือวันที่ 1 เก็บ 1 บาท วันที่ 2 เก็บ 2 บาท เพิ่มไปเรื่อยๆ ตามลำดับวันจนถึงวันที่ 180 ก็เก็บ 180 บาท เพียงเท่านี้ก็จะมีเงินเก็บถึง 16,290 บาท สามารถเสริมดั้งสวยๆ ได้เลย - เก็บเงินในบัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษี
การเก็บเงินแบบนี้ทำให้เราต้องบังคับตนเองให้เก็บเงินทุกเดือนในจำนวนที่เท่ากัน โดยควรกำหนดงบในการทำศัลยกรรมที่ต้องการแล้วเก็บเงินให้ครบตามเป้าหมาย เช่น ต้องการงบทำศัลยกรรม 120,000 บาท ในเวลา 2 ปี ก็ฝากประจำ 24 เดือน เดือนละ 5,000 บาท - ลดค่าใช้จ่ายโดยการรับรีวิวศัลยกรรมของคลินิก
เนื่องจากในปัจจุบันมีคลินิกศัลยกรรมจำนวนมาก คลินิกจึงมักโปรโมทด้วยการหาคนมารับรีวิวศัลยกรรมของคลินิก ซึ่งจะได้ส่วนลดในการทำศัลยกรรมแลกกับการรีวิว แต่ก็ต้องระวังเลือกคลินิกที่ดูปลอดภัยและน่าเชื่อถือด้วย
3. ความปลอดภัยในการทำศัลยกรรม
- ผู้เข้ารับบริการ
- ควรมีอายุ 20 ปีขึ้นไป ถ้าอายุน้อยกว่า 20 ปีควรได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง
- ถ้ามีโรคประจำตัว ต้องได้รับการประเมินจากศัลยแพทย์ว่าไม่มีผลต่อการทำศัลยกรรม
- ผู้เข้ารับบริการต้องมีความพร้อมทางจิตใจที่จะทำ
- แพทย์
- แพทย์ทั่วไปมีสิทธิได้รับใบประกอบวิชาชีพเวชกรรม สามารถทำหัตถการได้ทุกประเภท ซึ่งความรู้พื้นฐานด้านศัลยกรรมจะแตกต่างจากศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า เช่น แพทย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมอาจรู้วิธีตัดแต่งแผล แต่ไม่รู้เกี่ยวกับวิธีการเย็บแผลให้ประณีต
- แพทย์ต้องมีการรับรองโดยแพทย์สภาพ สามารถเช็ครายชื่อของแพทย์ได้ที่ tmc.or.th/check_md
- ถ้าต้องการรายชื่อศัลยแพทย์ตกแต่ง สามารถเช็ครายชื่อได้ที่ plasticsurgery.or.th/lst.php และสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งเสริมสวยแห่งประเทศไทย
- สถานประกอบการ
- คลินิกทั่วไปสามารถทำหัตถการที่ไม่ต้องให้ยาสลบและไม่ต้องให้ผู้ป่วยค้างคืน
- คลิกนิกขนาดใหญ่ที่ไม่ได้จดทะเบียนเป็นโรงพยาบาล ต้องขออนุญาตจากส่วนราชการในการให้ยาสลบและให้ผู้ป่วยค้างคืนได้
- สถานประกอบการต้องสะอาด วัสดุอุปกรณ์ได้มาตรฐานและมีการฆ่าเชื้ออย่างดี และไฟต้องสว่าง
- คลินิกต้องมีการจดทะเบียนถูกต้อง ดูได้ที่เลขทะเบียนของคลินิก
- คลินิกเวชกรรม แบ่งเป็น คลินิกเวชกรรมทั่วไป และคลินิกเวชกรรมเฉพาะทาง
4. วิธีดูแลตัวเองก่อนทำศัลยกรรม
- ตรวจสุขภาพก่อนทำศัลยกรรม
สำหรับคนที่มีโรคที่มีความเสี่ยง เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเกี่ยวกับระบบการหยุดเลือดที่ทำให้เลือดหยุดยาก หรือเลือดออกมากผิดปกติ อาจไม่สามารถทำศัลยกรรมได้ - ผู้หญิงควรเช็ครอบประจำเดือน
การศัลยกรรมต้องหลีกเลี่ยงช่วงที่มีประจำเดือนเพื่อไม่ให้เสียเลือดมากไปหรือมีอาการบวมผิดปกติ - งดการสูบบุหรี่
ควรงดการสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เพราะบุหรี่จะทำลายเซลล์ที่ซ่อมแซมการหายของแผล - งดแอลกอฮอล์
ควรงดแอลกอฮอล์ในคืนก่อนผ่าตัด - งดกลุ่มยาและอาหารเสริมที่มีผลต่อการหยุดของเลือด
ควรงดยา เช่น แอสไพริน อาหารเสริมต่างๆ เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา เมล็ดองุ่น ใบแปะก๊วย โสม ซึ่งมีผลต่อการหยุดของเลือด โดยควรงด 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด - งดการทาครีม ทาโลชั่น และแต่งหน้าก่อนผ่าตัด
ในบริเวณที่จะทำการผ่าตัด ควรปล่อยผิวไว้ตามปกติ และการใส่เสื้อผ้าควรใส่เสื้อผ้าที่ไม่รัดรูป ใส่แล้วสบาย - งดน้ำและอาหาร 6-8 ชั่วโมง
สำหรับผู้ที่ต้องดมยาสลบหรือยากดระบบประสาทตอนผ่าตัด ต้องงดน้ำและอาหาร 6-8 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด - มีผู้ติดตามมาด้วยในวันที่ผ่าตัด
ควรมีผู้ที่มารอรับหลังทำศัลยกรรมเสร็จ เพราะฤทธิ์ยาอาจยังมีผลอยู่หลังทำศัลยกรรม ไม่ควรกลับบ้านเองโดยเฉพาะการขับรถยนต์
5. วิธีดูแลตัวเองหลังทำศัลยกรรม
- ประคบเย็น
หลังทำศัลยกรรมมักมีอาการบวม ให้ใช้เจลแพ็ก หรือผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งประคบเย็นอย่างต่อเนื่อง 48 ชั่วโมง ทำให้เลือดแข็งตัวและลดอาการบวม แต่ถ้าใครทำศัลยกรรมเสริมซิลิโคน ห้ามประคบบนตัวซิลิโคนเพราะอาจทำให้ซิลิโคนเคลื่อนได้ ให้ประคบที่รอบๆ แทน - ยกหัวให้สูง
ในกรณีทำศัลยกรรมจมูก ช่วง 3-5 วันแรก พยายามนอนโดยยกหมอนสูง การใช้ชีวิตประจำวันพยายามอย่าก้มตัวต่ำกว่าระดับหัวใจ เพื่อยับยั้งการรั่วของสารน้ำออกจากเส้นเลือด - ประคบอุ่นเมื่อครบ 1 สัปดาห์
การประคบอุ่นจะทำให้เส้นเลือดขยายตัวและลิ่มเลือดละลายได้เร็วมากขึ้น แต่ถ้าประคบร้อนแล้วบวมให้หยุดทันที - เลือกรับประทานอาหาร
หลังทำศัลยกรรมต้องงดของหมักดอง ไข่ ไก่ อาหารทะเล แอลกอฮอล์ และการสูบบุหรี่ และควรรับประทานอาหารจำพวกสาหร่าย ฟักทอง ใบบัวบก เพราะจะช่วยลดการติดเชื้อ อาการบวม เสริมแร่ธาตุและปรับอุณหภูมิร่างกายให้อบอุ่น - รับประทานยาตามแพทย์สั่ง
การใช้ยาหลังการศัลยกรรมต้องปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง โดยบอกรายละเอียดเกี่ยวกับยาที่แพ้ด้วย และการรับประทานยาอื่นๆ โดยไม่ปรึกษาแพทย์จะส่งผลเสียได้ เช่น ยาเจือจางเลือดหรือแอสไพริน เพราะจะทำให้เลือดไหลมากขึ้น
ก่อนทำการศัลยกรรมเสริมความงาม ผู้ที่จะทำศัลยกรรมต้องมีทัศนคติที่ดีต่อการทำศัลยกรรมด้วย เพราะว่าผลลัพธ์อาจไม่ตรงตามที่คิดไว้ 100% ขึ้นอยู่กับร่างกายของตนเอง ความเชี่ยวชาญของแพทย์ และงบประมาณ ซึ่งในด้านงบประมาณก็มีผลอย่างมาก เพราะถ้าเสียเงินมาก ส่วนใหญ่ก็จะได้รับคำแนะนำ บริการ และเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีคุณภาพมากกว่านั่นเอง