การตลาดออนไลน์ในปัจจุบันมีหลายแบบ แต่ที่ได้รับความนิยมมากคือการทำ SEO กับPPC ที่อาศัยพื้นที่บน Search Engine ในการโฆษณาเว็บไซต์ เพราะการค้นหาข้อมูลเป็นสิ่งแรกๆ ที่คนเราทำเมื่อต้องการซื้อสินค้าหรือบริการบางอย่าง และการโฆษณาให้คนที่กำลังสนใจสินค้าหรือบริการนั้นโดยตรงก็จะเพิ่มโอกาสขายได้มากกว่า แต่หลายคนก็คงยังสับสนว่าระหว่าง SEO กับ PPC เลือกอะไรดี
SEO (Search Engine Optimization) คืออะไร?
SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือ การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอันดับผลลัพธ์การค้นหาบน Search Engine เป็นอันดับแรกๆ ซึ่งเจ้าของเว็บไซต์นิยมทำการตลาดออนไลน์ด้วยการทำ SEO เพราะผู้คนในปัจจุบันค้นหาข้อมูลผ่าน Search Engine เป็นจำนวนมาก การที่เว็บไซต์ของเราติดอันดับแรกๆ ก็จะทำให้ผู้คนสนใจคลิกเข้ามาดูมากกว่าเว็บไซต์ที่อยู่อันดับท้ายๆ
เว็บไซต์จะมีคะแนน SEO ดีได้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและเนื้อหายภายในเว็บไซต์ เช่น Page Speed, Mobile Friendly, การใส่ Keyword ไว้อย่างเหมาะสม และเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ ให้ประโยชน์และตอบโจทย์กับผู้ที่ค้นหา รวมทั้งการได้ Backlink เชื่อมโยงมาจากเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้อง
ข้อดีของ SEO
1. เป็นการโฆษณา 24 ชั่วโมง
ไม่ว่าจะค้นหาด้วย Keyword บน Search Engine เมื่อไหร่ ผลลัพธ์จะแสดงอยู่เสมอ เปรียบได้กับการโฆษณาอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ต้องกังวลเรื่องงบประมาณในการโฆษณา เพราะไม่เสียค่าใช้จ่าเมื่อมีผู้คลิกเข้ามาชมเว็บไซต์
2. สร้างแบรนด์ Awareness ได้มากขึ้น
การที่เว็บไซต์อยู่อันดับแรกๆ ของผลลัพธ์การค้นหาบน Search Engine แม้ผู้ค้นหาอาจไม่ได้คลิกเข้ามา แต่ก็จะเห็นเว็บไซต์หรือแบรนด์ของเราผ่านตามากขึ้น ทำให้จดจำแบรนด์ได้ และส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อในภายภาคหน้า
3. เข้าถึงกลุ่มลูกค้าตามเป้าหมาย
ลูกค้าที่เห็นเว็บไซต์ของเราคือลูกค้าที่ค้นหาด้วย Keyword เกี่ยวกับเนื้อหาบนเว็บไซต์ของเรา ซึ่งลูกค้าต้องมีความสนใจเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการนั้นๆ อยู่แล้วจึงหาข้อมูล ทำให้ได้ลูกค้าตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ไม่เหมือนการโฆษณาทางทีวี หรือวิทยุ ที่เราไม่รู้กลุ่มเป้าหมายแน่นอน
4. เพิ่มความน่าเชื่อถือ
การทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับแรกๆ บน Search Engine ต้องปรับปรุงหลายอย่าง ทั้งโครงสร้างเว็บไซต์และเนื้อหา และต้องใช้เวลากว่าจะติดอันดับแรกได้ การทำเว็บไซต์ให้มี SEO ได้จึงแสดงถึงความใส่ใจและทุ่มเท ทำให้ความเชื่อถือเพิ่มขึ้นมาด้วย
5. เป็นการลงทุนระยะยาว
ถ้าทำ SEO ผ่านเอเจนซี่ ไม่ใช่ว่าให้เอเจนซี่ปรับโครงสร้างและอัพเดตเนื้อหาเว็บไซต์เพียงครั้งเดียวแล้วจบ แต่ต้องติดตามและเช็คอันดับ อัพเดตเนื้อหาอย่างต่อเนื่องอยู่หลายเดือนกว่าเว็บไซต์จะมีคะแนน SEO จนเว็บไซต์สามารถขึ้นอันดับแรกๆ ได้ แต่เมื่อขึ้นได้แล้วและมีการปรับปรุงเว็บไซต์และเนื้อหาอยู่เสมอ อันดับมักจะคงอยู่ ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก จึงถือเป็นการลงทุนระยะยาว
ข้อเสียของ SEO
1. ต้องมีความเชี่ยวชาญมาก
การทำ SEO ต้องปรับปรุงหลายอย่างในเว็บไซต์ ซึ่งจำเป็นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญมาก ต้องใช้เวลาในการศึกษาพอสมควร หรือถ้าจ้างทำก็จะช่วยประหยัดเวลา แต่ก็ต้องดูด้วยว่าเอเจนซี่หรือบริษัทที่รับทำมีความเชี่ยวชาญแค่ไหน สามารถให้คำแนะนำที่ดีได้หรือไม่
2. ต้องติดตามอันดับอยู่เสมอ
Search Engine เช่น Google มักมีการปรับเปลี่ยนอัลกอริทึมอยู่เสมอ ทำให้การให้คะแนน SEO มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอด อันดับเว็บไซต์ของเราจึงอาจมีการเปลี่ยนแปลงตาม จึงต้องคอยติดตามข่าวสารและปรับปรุงเว็บไซต์อยู่ตลอด
3. จำกัด Keyword
ในหนึ่งหน้าเว็บไซต์ ควรใส่ Keyword หลักสำหรับการค้นหาไม่เกิน 3 คำ เพราะควรโฟกัสเนื้อหาในหน้าเว็บไซต์นั้นๆ ให้เหมาะสมกับ Keyword
4. ใช้เวลานานกว่าจะติดอันดับหน้าแรก
การทำ SEO นั้นกว่าจะได้ผลลัพธ์ตรงความต้องการนั้นใช้เวลา อาจไม่ทันใจสำหรับคนที่ต้องการทำการตลาดทันที และยิ่งเป็น Keyword ที่มีการแข่งขันสูง ก็ต้องยิ่งใช้เวลานาน
PPC (Pay Per Click) คืออะไร?
PPC ย่อมาจาก Pay Per Click คือการทำโฆษณาบนหน้าแสดงผลลัพธ์การค้นหาของ Search Engine เช่น Google, Bing, Baidu, Yahoo เป็นต้น มีลักษณะคล้ายกับ SEO แต่เป็นการจ่ายเงินเพื่อโฆษณา และผลลัพธ์การค้นหาจะมีคำว่า “Ad” หรือ “โฆษณา” ขึ้นเพื่อให้รู้ว่าเป็นโฆษณา โดยราคาจะขึ้นอยู่กับ Keyword ที่เลือกใช้ว่ามีการแข่งขันสูงหรือไม่ รวมถึงคุณภาพของโฆษณาและเว็บไซต์ของเรา แต่จุดเด่นของ PPC ก็ตรงตามชื่อ คือ จะเสียเงินตามจำนวนคลิก แปลว่าถ้าไม่มีคนคลิกเข้ามาดูก็ไม่เสียเงินนั่นเอง
ข้อดีของ PPC
1. ลงโฆษณาได้ทันที
การทำ PPC สามารถเปิดบัญชีแล้วลงโฆษณาได้ทันที โดยสามารถกำหนดงบทำโฆษณาได้เป็นรายวัน สามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือจ้างเอเจนซี่ก็ได้
2. ไม่ต้องปรับปรุงเว็บไซต์
ส่วนหนึ่งที่ทำให้ SEO ยุ่งยากกว่า PPC เพราะต้องปรับปรุงโครงสร้างและเนื้อหาเว็บไซต์ และต้องรอเวลาให้เว็บไซต์ติดอันดับ แต่การทำ PPC ไม่จำเป็นต้องปรับปรุงเว็บไซต์ อีกทั้งเว็บไซต์ที่ไม่มีเนื้อหามากนักก็สามารถทำได้
3. ใช้ Keyword ได้จำนวนมาก
ขณะที่ SEO ใช้ Keyword ได้เพียงไม่กี่คำต่อหน้า แต่ PPC จะใส่กี่ Keyword ก็ได้ และไม่จำเป็นต้องมีคำนั้นอยู่ในหน้าเว็บไซต์ด้วย ทั้งนี้ Keyword ที่ไม่เกี่ยวกับเว็บไซต์อาจทำให้ค่าใช้จ่ายต่อคลิกสูง จึงควรเลือก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์จะดีกว่า
4. เปลี่ยน ลบ เพิ่ม Keyword และคำโฆษณาได้ทันที
การที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทันที จะทำให้สามารถดำเนินการตามแผนการตลาดได้อย่างรวดเร็ว หรือจะทดลองใช้คำโฆษณาแบ่งเป็นสองกลุ่ม เช่น Keyword 1 ก็ใช้คำโฆษณา 1 ส่วน Keyword 2 ก็ใช้คำโฆษณา 2 เพื่อทดลองดูว่าผู้ใช้งานเลือกคลิกแบบไหนมากกว่า
5. เลือกกลุ่มเป้าหมายได้
การทำ PPC สามารถกำหนดได้ว่าจะให้ใครเห็น ทั้งเพศ อายุ พื้นที่ จึงทำให้มีความเฉพาะเจาะจงมากกว่า
ข้อเสียของ PPC
1. โฆษณาไม่ได้ขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง
หากมีงบประมาณจำกัด โฆษณาจะไม่สามารถแสดงได้ตลอดทุกครั้งที่มีคนค้นหา นอกจากนี้ถ้าหยุดโฆษณา ผู้ใช้ก็จะค้นหาเว็บไซต์ของเราไม่พบทันที หากเว็บไซต์ไม่ได้ติดอันดับใน SEO
2. เสียเงิน 2 ต่อ
การทำ PPC ถ้าเราไม่ได้ทำเองก็ต้องเสียค่าจ้างทำให้เอเจนซี่ และต้องเสียค่าโฆษณาให้ Search Engine ให้บริการโฆษณาด้วย จึงเป็นการเสียเงิน 2 ต่อนั่นเอง
3. ความน่าเชื่อถือน้อยกว่า SEO
ผู้ที่ค้นหาข้อมูลจะรู้ทันทีว่านี่คือโฆษณา ทำให้ไม่ค่อยสนใจคลิกเข้ามาดู อีกทั้งการทำ PPC ยังดูน่าเชื่อถือน้อยกว่า SEO ด้วย เพราะเมื่อจ่ายเงินก็สามารถซื้ออันดับบนหน้าแสดงผลลัพธ์ของ Search Engine ด้วย
4. ต้องระวังการแกล้งคลิก
เนื่องจากการการคลิกต่อครั้งทำให้เราเสียค่าใช้จ่าย คนทั่วไปหรือบริษัทคู่แข่งอาจแกล้งคลิกได้ แต่ทาง Google สามารถคืนเงินได้กรณีที่ระบุได้ว่เป็นการแกล้งคลิกอย่างชัดเจน นั่นคือการคลิกซ้ำๆ จาก IP Address เดียวกัน แต่การจะขอคืนเงินต้องรวบรวมข้อมูลและดำเนินการด้วยตัวเอง ทั้งยังใช้เวลานานอีกด้วย
SEO VS PPC เลือกใช้แบบไหนดี?
การจะเลือกว่าจะใช้ SEO หรือ PPC ขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้าของเว็บไซต์ โดยควรพิจารณาจาก
- ต้องการผลลัพธ์ที่ช้าหรือเร็ว?
- ต้องการความน่าเชื่อถือหรือไม่?
- มีงบประมาณจำกัดหรือไม่?
- ต้องการรระบุกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงหรือไม่?
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าอยากโฆษณาเพื่อขายสินค้าให้ลูกค้าวัยรุ่นหญิงชายในกรุงเทพก่อนถึงเทศกาลคริสต์มาสต์ โดยมีเวลาไม่ถึง 1 สัปดาห์ การเลือก PPC จะตอบโจทย์มากกว่า เพราะสามารถโฆษณาได้ทันทีและเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ แต่ถ้าไม่ได้รีบร้อน งบประมาณไม่มาก ต้องการลงทุนให้ได้ผลระยะยาวและต้องการความน่าเชื่อถือสูง การทำ SEO ก็ตอบโจทย์มากกว่า
ทั้ง SEO และ PPC ต่างก็มีข้อดีข้อเสียในตัวเอง สิ่งที่เหมือนกันคือการโฆษณาบนพื้นที่แสดงผลลัพธ์ของ Search Engine ดังนั้นหัวใจสำคัญคือการเลือก Keywords ถ้าเลือก Keywords ที่คนส่วนใหญ่เลือกค้นหา เว็บไซต์ของเราก็จะผ่านตาของผู้คนมากขึ้น และเพิ่มโอกาสในการขายตามมาด้วย
บทความแนะนำ
- E-Commerce (อีคอมเมิร์ซ) คืออะไร? แตกต่างกับธุรกิจทั่วไปอย่างไร?
- E-Marketplace คืออะไร? มีข้อดีอย่างไร?
- Fulfillment คืออะไร? มีประโยชน์กับร้านค้าออนไลน์อย่างไร?
- Affiliate (แอฟฟิลิเอท) คืออะไร? Affiliate Marketing มีหลักการทำงานอย่างไร?
- เทคนิคปิดการขาย สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์
- ไอเดียจัดโปรโมชั่น เพิ่มยอดขายร้านค้าออนไลน์ให้ปัง!